วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

สุนัขไทยหลังอาน

เขียนโดย 101thairidgeback
ลูกสุนัขไทยหลังอานสวยๆ จากคอก 101ไทยหลังอาน พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ
ลูกสุนัขไทยหลังอานสวยๆ จากคอก 101ไทยหลังอานท่านใดที่สนใจและกำลังมองหาลูกสุนัขไทยหลังอานสวยๆ ระดับประกวดหรือเลี้ยงไว้เพื่อเป็นเพื่อนเฝ้าบ้านลอง โทร.089-8400501 มาคุยหรือปรึกษาหาลือกันดูก่อนได้ ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
เขียนโดย 101thairidgeback
คอกอรัญประเทศ คอกสุนัขไทยหลังอานระดับอินเตอร์ โทร.081-7814533 คุณอัศวิน เผ่าเมือง
เขียนโดย 101thairidgeback
พงษ์เพชร พ่อพันธุ์สุนัขไทยหลังอานยอดเยี่ยมแห่งยุคมีผลงานมากมาย โทร.081-8599915 คุณธรรมรัตน์http://www.siamthairidgeback.com/
Name: Multiple BIS.BISS.Int'l.Th.Ch.OSTEN TRD. PONG-PETCH AT SIAM (พงษ์เพชร)Sire: THONG-DEE OF KHUNNANDam: MAYOM OF OSTEN TRD.D.O.B: Oct 08,03Color: RedPosition:-International Champion -Thai ChampionHonour:-No.1:Thai Ridgeback of the year 2005,2006 &2007 -14 ถ้วยพระราชทานฯ 6 ถ้วยพระราชทานสูงสุดจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ: -Best in Show(all breed) -2*Reserve Best in Show(all breed) -3*Third in Show(all breed) -Multiple Best in Specialty Show -Mutiple Best in Show(open show)**Produced 13 Thai Champions at the moment**


เขียนโดย 101thairidgeback
ผลงานมากมายกับสุนัขไทยหลังอาน คอกเมืองไทยอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีโทร.087-9999795 คุณเสกสิทธิ์ สุรัตพิพิธ
เขียนโดย 101thairidgeback
การมองหาเจ้าหลังอานมาเลี้ยง ปัจจุบันนี้ในเมืองไทยมีร้านขายสุนัขเปิดขายกันเป็นจำนวนมาก บางร้านก็มีฟาร์มเพาะพันธุ์สุนัขของตัวเองกันเลยทีเดียว บางร้านก็เพียงแต่ซื้อลูกสุนัขมาขายเท่านั้น ผู้ที่คิดจะเลี้ยงสุนัขจำนวนไม่น้อยที่ไปเดินหาสุนัขที่ต้องการเลี้ยงตามตลาดนัดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สวนจตุจักรนั้นก็มีให้เลือกกันอย่างจุใจกันเลยทีเดียว แม้แต่ตลาดเปิดท้ายขายของที่จัดกันบ่อยๆ ในขณะนี้ก็มีการนำลูกสุนัขไปวางขายกันแล้ว
แต่การเลือกซื้อลูกสุนัขจากร้านที่ไม่ได้มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่งแน่นอน หรือร้านที่ไม่มีใบรับรองสายพันธุ์ของสุนัขนั้น ผู้ซื้อก็อาจจะต้องเสี่ยงอยู่บ้างว่าลูกสุนัขที่คุณซื้อมานั้นมีความแข็งแรงสมบรูณ์เพียงใดมีสายพันธุ์ที่ดี มีความเฉลียวฉลาด มีราคาเหมาะสมกับจำนวนเงินที่คุณจ่ายไปหรือไม่ หากคุณเลือกเข้าร้านที่มีประวัติในการเพาะพันธุ์สุนัขอย่างมืออาชีพมีเกียรติบัตรรับรอง มีถ้วยรางวัลยืนยันความสำเร็จมากมาย ถึงแม้ลูกสุนัขที่คุณต้องการจะมีราคาแพงกว่าร้านเล็กๆ อยู่บ้าง แต่ก็ต้องแลกกันกับความสบายใจ และความสำเร็จที่เขาสั่งสมมา เพราะอย่างน้อยคุณก็วางใจได้ว่าคุณได้ลูกสุนัขที่มีคุณภาพ

บางทีร้านเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนั้น ราคาลูกสุนัขจะถูกกว่าร้านใหญ่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีสิ่งใดทำให้คุณอุ่นใจได้ว่าลูกสุนัขที่คุณซื้อนั้นเป็นลูกสุนัขที่มีคุณภาพเพียงใด เคยมีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ว่ามีคนเคยไปซื้อลูกสุนัขไทยหลังอานที่ตลาดนัดแห่งใหญ่ใจกลางกรุงในราคาตัวหนึ่งหลายหมื่นบาท แต่เมื่อนำกลับมาบ้านแล้วนำไปอาบน้ำ กลับกลายเป็นว่าเป็นสุนัขไทยธรรมดาที่อานหายไป เพียงแต่เจ้าของร้านนำเจลแต่งผมใส่ที่หลังของสุนัขแล้วหวีขนของมันให้สวนทางให้ดูคล้ายสุนัขหลังอานเท่านั้นเอง ซึ่งกรณีนี้เคยเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์กันเลยที่เดียว นิตยสารที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั่วไปนั้น ต่างแนะนำให้ผู้ที่อยากเลี้ยงสุนัขซื้อสุนัขจากผู้เพาะพันธุ์โดยตรง จะเห็นได้ว่าตอนนี้ผู้ที่อยากเลี้ยงสุนัขหันมาให้ความนิยมในจุดนี้เพิ่มมากขึ้น หากเราได้ศีกษาสายพันธุ์มาก่อนและได้ทำความเข้าใจกับผู้เพาะเลี้ยงประจำสายพันธุ์ไทยหลังอานโดยตรง ก็จะทำให้เราเป็นผู้เข้าใจการเลี้ยงดูรวมทั้งเรื่องสุขภาพของสุนัขไทยหลังอานได้โดยตรงอย่างละเอียด ซึ่งเราก็จะได้รับคำปรึกษาหลังการซื้อไปแล้วได้อีกด้วย หากเราไม่สามารถซื้อลูกสุนัขจากผู้เพาะเลี้ยงได้โดยตรงและจำเป็นต้องซื้อจากร้านขายสัตว์เลี้ยงแล้วล่ะก็เราก็มีข้อควรพิจารณาดังนี้
-ร้านที่ทำการแยกลูกสุนัขออกเป็นส่วนๆ โดยพยายามไม่ให้คนสัมผัสตัวลูกสุนัขได้หรือไม่ เพราะหากสัมผัสกับมือคนมากๆ ลูกสุนัขมีโอกาสติดเชี้อโรคได้มาก รวมทั้งอาจเป็นที่มาของความเครียดได้ด้วย -ร้านที่มีการฉีดยาป้องกันโรคและการตรวจอุจจาระให้ลูกสุนัขหรือไม่ เพราะในช่วงลูกสุนัขยังเล็กอยู่นั้นจะมีโอกาสที่จะเป็นพยาธิได้มาก หากเป็นผู้เพาะเลี้ยงหรือร้านที่จะต้องทำการตรวจสอบโดยเร็ว เพราะหากช้าไปแม้แต่เพียงนิดเดียวอาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับตับไปตลอดชีวิตได้
-ทางร้านนำลูกสุนัขมาขายก่อนอายุ 5 สัปดาห์หรือไม่ เพราะอายุขนาดนั้นนับว่าเร็วเกินไป ลูกสุนัขจะไม่มีโอกาสอยู่กับพี่น้องทำให้ไม่ชินกับสังคมภายนอกอย่างเพียงพอ
-เราควรทำการสอบถามเกี่ยวกับสายพันธุ์อย่างละเอียด เพื่อทดสอบดูความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลูกสุนัข
101ไทยหลังอาน

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โดเรมอน

โดเรมอน
มีหลายคนยังไม่เคยดูตอนนี้ รวมผมด้วยพึ่งได้ดูเมื่อ 3 -4 วันนี้เอง เป็นตอนเก่ามากแล้วดูแล้วก็ซึ้งมากคับ ผมรักโดเรม่อน T^T โหวตหั้ยด้วยเน้อ (ไม่โหวตขอหั้ยอุจาระไหล) อิอิ ล้อเล่น
คะแนน: 300 ชอบ, 8 ไม่ชอบ
Tag: คลิป การ์ตูน ญี่ปุ่น โดราเอมอน โดเรม่อน
ชนิด: คลิป - ประเภท: เกมส์การ์ตูน
117 บทวิจารณ์ 1,072,390 คนอ่าน

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทานคุณธรรม-โลภมากลาภหาย

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – โลภมากลาภหาย
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีชื่อถูลนันทา ผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคกระเทียม สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง มีภรรยาและได้ลูกสาว ๓ คน ชื่อ นันทา นันทวดี และสุนันทา พอลูกสาวทั้ง ๓ ได้สามีแล้วทุกคน พราหมณ์ก็ได้เสียชีวิตไปเกิดเป็นหงส์ทองคำระลึกชาติได้ วันหนึ่ง ได้เห็นความลำบากของนางพราหมณีและลูกสาวของตนที่ต้องรับจ้างคนอื่นเลี้ยงชีพ จึงเกิดความสงสาร ได้โผบินไปจับที่บ้านนางพราหมณีแล้วเล่าเรื่องราวให้แก่นางพราหมณีและลูกสาว ฟัง และได้สลัดขนให้แก่พวกเขาเหล่านั้นคนละหนึ่งขนแล้วก็บินหนีไป หงส์ทองได้มาเป็นระยะๆ มาครั้งใดก็สลัดขนให้ครั้งละหนึ่งขน โดยทำนองนี้นางพราหมณีและลูกสาวจึงร่ำรวยและมีความสุขไปตามๆ กัน ต่อมาวันหนึ่งนางพราหมณีเกิดความโลภจึงปรึกษากับลูกๆ ว่า ” ถ้าหงส์มาครั้งนี้ พวกเรา จะจับถอนขนเสียให้หมด เพื่อจะได้มีทรัพย์สมบัติมาก ” พวกลูกๆ ไม่เห็นดีด้วย แต่นางพราหมณีไม่สนใจ ครั้นวันหนึ่งพญาหงส์ทองมาอีก นางก็ได้จับถอนขนเสียให้หมด ขนเหล่านั้นกลายเป็นขนนกธรรมดาเท่านั้น เพราะพญาหงส์ทองมิได้ให้ด้วยความสมัครใจ นางพราหมณีได้เลี้ยงหงส์นั้นจนขนงอกขึ้นใหม่เต็มตัว หงส์ก็ได้บินหนีไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลยพระพุทธองค์ เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า ” บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณ เป็นความชั่วแท้ นางพราหมณี จับเอาพญาหงส์ทองแล้วจึงเสื่อมจากทองคำ ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมาก มักลาภหาย

นิทานคุณธรรม-คนมีศิลปะ

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – คนมีศิลปะ
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี มีพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากคนหนึ่งประจำราชสำนัก ถ้าเขาได้พูดแล้วคนอื่นจะไม่มีโอกาสได้พูดเลย สร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมากแม้กระทั่งพระราชา พระองค์จึงคิดหาวิธีสกัดคำพูดของปุโรหิตนั้น
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปพระอุทยานด้วยพระราชรถ ถึงต้นไทรทอดพระเห็นพวกเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดูชายง่อยเปลี้ยผู้หนึ่ง ดีดก้อนขวดซัดใส่ใบไม้เจาะรูเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อยู่ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรดู ทรงคิดได้วิธีสกัดคำพูดของปุโรหิต รับสั่งให้ชายง่อยเปลี้ยเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า” ในราชสำนักของเรา มีคนพูดมากอยู่คนหนึ่ง เจ้า สามารถทำให้เขาหยุดพูดได้ไหม ? ”เขากราบทูลว่า” ถ้าได้ขี้แพะถังหนึ่ง อาจทำให้เขาหยุดพูดได้ พระเจ้าค่ะ ”
จึงรับสั่งให้นำชายง่อยเปลี้ยเข้าวังด้วย ให้เขานั่งภายในม่านเจาะรูตรงข้ามกับที่นั่งของพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากนั้น พร้อมให้วางขี้แพะแห้งไว้ใกล้ ๆชายง่อยเปลี้ยนั้น พอได้เวลาพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้า เขาก็เริ่มกราบทูลพูดโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น เมื่อเขาอ้าปากพูดคำไหน บุรุษง่อยเปลี้ยก็ดีดขี้แพะที่ทำเป็นก้อนเล็กๆ ผ่านม่านเข้าปากเขาทุกคำพูด พราหมณ์ปุโรหิตจึงได้กลืนกินขี้แพะโดยไม่รู้ตัวพระราชาทรงทราบว่าขี้แพะหมดแล้ว จึงตรัสว่า” ท่านอาจารย์ ท่านกลืนกินขี้แพะไปตั้งถังหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือ ? ท่าน จงไปถ่ายท้องก่อนที่จะตายเสียเถิด ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์ปุโรหิตปิดปากสนิท แม้ใครจะพูดด้วย ก็ไม่ค่อยจะพูด พระราชาทรงสบายพระทัยแล้วรับสั่งให้พระราชทานบ้าน ๔ หลัง อยู่ในทิศทั้ง ๔ ทิศ พร้อมทรัพย์สินแก่ชายง่อยเปลี้ยนั้น
ฝ่ายอำมาตย์ ได้เข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า“ธรรมดาศิลปะในโลก บัณฑิตทั้งหลาย พึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกวด ก็ยังช่วยให้ชายง่อยได้สมบัตินี้ ” แล้วกล่าวคาถานี้ว่า” ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็สามารถให้สำเร็จประโยชน์ได้โดยแท้ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรบุรุษง่อย ได้บ้านทั้ง ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดขี้แพะ ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าศิลปะเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต และไม่ควรเป็นคนพูดมาก

นิทานคุณธรรม-ปลาเจ้าปัญญา

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – ปลาเจ้าปัญญา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้เฒ่า ๒ รูป ที่ผลัดวันประกันพรุ่ง เป็นผู้เกียจคร้าน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีปลา ๓ ตัว เป็นสหายกันชื่อว่า พหุจินตี อัปปจินตี และมิตจินตี ตามลำดับ พากันว่ายออกจากป่าลึกเข้ามาใกล้ถิ่นมนุษย์หากิน
ปลามิตจินตีบอกกับเพื่อนๆว่า ” ถิ่นมนุษย์เต็มไปด้วยภัย พวกชาวประมงพากันดักข่ายและไซพวกเรา เข้าป่าลึกตามเดิมเถอะเพื่อน ” ปลาอีก ๒ ตัว พูดว่า ” วันพรุ่งนี้ พวกเราค่อยไปเถิด ” เพราะความเกียจคร้านและติดใจในเหยื่อจนเวลาล่วงไปถึง ๓ เดือน
ชาวประมง ได้เริ่มวางข่ายดักปลาในแม่น้ำ ปลาพหุจินตีและอัปปจินตี เมื่อออกหาอาหารพากันว่ายไปข้างหน้าอย่างไม่ระวัง ก็ว่ายเข้าไปในท้องข่ายทันที ส่วนปลามิตจินตี มาทีหลังได้กลิ่นข่ายก็ทราบว่าเพื่อนอีก ๒ ตัว ติดข่ายแล้ว จึงช่วยเพื่อนด้วยการแสดงลวงให้ชาวประมงเข้าใจว่าข่ายขาดปลาหนีไปได้ ด้วยการกระโดดข้ามข่ายไปมา พวกชาวประมงจึงยกข่ายขึ้นด้วยเข้าใจว่าข่ายขาด ปลาอีก ๒ ตัว จึงรอดออกมาได้ ด้วยการช่วยเหลือของปลามิตจินตี
พระพุทธองค์ เมื่อตรัสเล่าอดีตนิทานแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า” ปลาชื่อพหุจินตีและปลาชื่ออัปปจินตี ทั้ง ๒ ตัวติดอยู่ในข่ายปลาชื่อมิตจินตีได้ช่วย ให้หลุดพ้นจากข่ายปลาทั้ง ๒ ตัว จึงได้มาพร้อมกันกับปลามิตจินตี ในแม่น้ำนั้น ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี

นิทานคุณธรรม-ดีแต่สอนคนอื่น

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – ดีแต่สอนคนอื่น
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีผู้พร่ำสอนรูปหนึ่งมักห้ามภิกษุณีรูปอื่นๆไปในที่หวงห้ามแต่ ตนเองกลับไป เป็นเหตุให้ประสบเหตุร้าย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกป่า จ่าฝูงของนกนับร้อยตัว อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง มีนางนกจัณฑาลตัวหนึ่ง แตกฝูงไปหากินไกลถิ่น ที่ทางใหญ่กลางดง ได้เมล็ดข้าวเปลือกและถั่วที่ตกหล่นจากเกวียนชาวบ้านเป็นอาหาร เกิดความโลภอยากเก็บไว้กินผู้เดียว เมื่อกลับมาหาฝูงจึงให้โอวาทแก่ฝูงนกว่า ” ธรรมดาทางใหญ่ในดงลึก มีภัยเฉพาะหน้ามาก ทั้งจากฝูงช้าง ม้าและยวดยานที่เทียมโค ถ้าไม่โผบินขึ้นได้เร็ว ก็อย่าไปที่นั้นนะ ” ฝูงนกจึงตั้งชื่อให้นางนกนี้ว่า แม่อนุสาสิกา
ต่อมาวันหนึ่ง นางกำลังหากินอยู่ ได้ยินเสียงยานแล่นมาด้วยความเร็ว ก็เหลียวดูนึกว่า ยังอยู่ไกลตัว ทันใดนั่นเอง ยานพลันถึงตัวนาง ด้วยความเร็วปานลมพัด นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน จึงถูกล้อยานทับตัวขาดเป็นสองท่อน นอนตายอยู่ตรงนั้น
นกจ่าฝูง เมื่อไม่เห็นนางกลับมาเข้าฝูง จึงเรียกประชุมนกและให้ออกติดตามหา ไปพบนางในที่นั้น จึงกล่าวคาถาว่า” นางนกป่าชื่ออนุสาลิกา พร่ำสอนนกตัวอื่นอยู่เนืองนิตย์แต่ตัวเองกลับโลภจัด จึงถูกล้อรถบดขยี้ขาดเป็น ๒ ท่อน นอนอยู่ที่หนทางใหญ่ ”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ากินคนเดียวไม่อร่อย และกินได้ไม่นานดี

นิทานคุณธรรม-ตายเพราะปาก

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – ตายเพราะปาก
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุชื่อโกกาลิกะ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ เมื่อเรียนจบศิลปะทุกอย่างจากเมืองตักกสิลา แล้วบวชเป็นฤาษี ได้เป็นอาจารย์ผู้ให้โอวาทแก่ฤาษี ๕๐๐ ตน
ในที่นั้น มีฤาษีขี้โรคผอมเหลืองผู้หนึ่ง วันหนึ่ง ท่านกำลังนั่งฝ่าฝืนอยู่ ได้มีฤาษีปากมากผู้หนึ่งเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วพูดว่า ” ท่านจงฟันอย่างนี้ จงฟันตรงนี้ ”
ทำให้ฤาษีขี้โรคโกรธแล้วกล่าวว่า ” ท่านไม่ใช่อาจารย์สอนศิลปะการฝ่าฟืนของผมนะ ” จึงฟันดาบสนั้นเสียชีวิตด้วยมีดฝ่าฟืนนั่นเอง
และในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของฤาษี มีนกกระทาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่จอมปลวก ทุกเช้าเย็นมันจะขึ้นไปยืนขันเสียงดังลั่นอยู่บนจอมปลวกนั้นเป็นประจำทุกวัน เป็นเหตุให้พรานผู้หนึ่งมาจับมันไปเป็นอาหารฤาษีพระโพธิสัตว์ไม่ได้ยินเสียงมันขันจึงถามหมู่ฤาษี เมื่อทราบเหตุการณ์นั้นแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ท่ามกลางหมู่ฤาษีว่า” คำพูดที่ดังเกินไป รุนแรงเกินไป และพูดเกินเวลาย่อมฆ่าคนผู้มีปัญญาทรามเสียเหมือนเสียงฆ่านกกระทา ที่ขันดังเกินไป ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการพูดมากไม่ดี ควรพูดตามกาลเทศะ และพูดแต่ที่ดี

นิทานคุณธรรม-ไก่ขันไม่เป็นเวลา

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – ไก่ขันไม่เป็นเวลา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ท่องบ่นไม่เป็นเวลารูปหนึ่ง สร้างความรำคาญและความเดือดร้อนแก่หมู่ภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ บอกศิลปะแก่มานพประมาณ ๕๐๐ คน พวกมานพอาศัยไก่ขันยามตัวหนึ่ง ในการลุกขึ้นศึกษาศิลปะ ต่อมามันได้ตายไป พวกเขาจึงแสวงหาไก่ตัวอื่นแทนมัน
วันหนึ่ง มีมานพคนหนึ่งเข้าไปหักฟืนในป่า ได้ไก่ป่าตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ ไก่ตัวนี้ไม่รู้จักเวลาขัน เพราะเติบโตขึ้นในป่า บางวันก็ขันดึกเกินไป บางวันก็ขันอรุณขึ้น พวกมานพพากันตื่นมาศึกษาศิลปะในเวลาดึกเกินไป ไม่อาจศึกษาได้จนอรุณขึ้น ก็พากันนอนหลับไป ในเวลาสว่างแล้วก็ไม่ได้ท่องบ่นเลย พวกเขาจึงพากันพูดว่า ” เดี๋ยวมันขันดึกไป เดี๋ยวมันขันสายไป อาศัยไก่ตัวนี้ พวกเราคงศึกษาศิลปะไม่สำเร็จหรอก ” จึงนำมันไปแกงเป็นอาหารแล้วบอกเรื่องนั้นแก่อาจารย์
อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า” ไก่ตัวนี้ ไม่ได้เติบโตอยู่กับพ่อแม่ไม่ได้อยู่ศึกษาในสำนักอาจารย์จึงไม่รู้เวลาที่ควรขันและไม่ควรขัน ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จักเวลาที่เหมาะสมว่า อะไรควรไม่ควรไก่

นิทานคุณธรรม-สุนัขจิ้งจอกอยากเป็นผู้นำ

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – สุนัขจิ้งจอกอยากเป็นผู้นำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง ออกจากถ้ำทอง ไปหาอาหาร ได้กระบือใหญ่ ตัวหนึ่ง กินเนื้อแล้ว ไปดื่มน้ำที่สระแห่งหนึ่ง ในขณะที่เดินกลับถ้ำ ได้พบสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งในระหว่างทาง สุนัขจิ้งจอกจึงขออาสาเป็นผู้รับใช้ราชสีห์ด้วยความกลัวตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสุนัขจิ้งจอกก็ได้กินเนื้อเดนราชสีห์อย่างอิ่มหนำสำราญ มันมีหน้าที่ขึ้นยอดเขาไปดูสัตว์ที่จะเป็นอาหาร แล้วกลับลงมาบอกพระยาราชสีห์ว่า ” ข้าพเจ้า อยากกินเนื้ออย่างโน้น นายท่าน จงแผดเสียงเถิด ” พระยาราชสีห์ก็จะไปจับสัตว์ตัวนั้นมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนานาชนิดหรือแม้กระทั่งช้าง
ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี สุนัขจิ้งจอก ชักกำเริบเกิดความคิดว่า ” แม้ตัวเรา ก็เป็นสัตว์ มี ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุใด จะให้ผู้อื่นเลี้ยงอยู่ทุกวันเล่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะฆ่าช้างเป็นอาหารกินเนื้อเอง แม้แต่ ราชสีห์ก็เพราะอาศัยเราบอกว่านายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด เท่านั้น ก็จึงฆ่าสัตว์ต่างๆได้ ต่อแต่นี้ เราจะให้ราชสีห์พูดกับเราบ้าง ” ได้เข้าไปหาราชสีห์แล้วบอกเรื่องนั้น
แม้ถูกพระยาราชสีห์พูดเยาะเย้ยว่า ” เป็นไปไม่ได้ ” ก็ตามคงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง พระราชสีห์เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคำให้สุนัขจิ้งจอกนอนในที่นอนของตน แล้วไปคอยดูช้างตกมันที่เชิงเขาพบแล้ว ก็กลับเข้ามาบอกสุนัขจิ้งจอกว่า ” จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด ”
สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้ำทอง สลัดกาย มองทิศทั้ง ๔ หอนขึ้นสามคาบ วิ่งกระโดดเข้างับช้างหวังที่ก้านคอช้าง กลับพลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างจึงยกเท้าขวาขึ้นไปเหยียบหัวจิ้งจอก จนหัวกะโหลกแตกเป็นจุน แล้วเอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้แล้วเยี่ยวรดข้างบน ร้องกัมปนาทเข้าป่าไป พญาราชสีห์เห็นเช่นนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถานี้ว่า” มันสมองของเจ้าทะลักออกมา กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทำลายซี่โครงของเจ้า ก็หักหมดแล้ว วันนี้ เจ้าช่างรุ่งโรจน์เหลือเกิน ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าคิดทำอะไร เกินกำลังความสามารถของตัวเอง

นิทานคุณธรรม-ปลุกมันขึ้นมาฆ่า

กุมภาพันธ์ 1st, 2010นิทานคุณธรรม – ปลุกมันขึ้นมาฆ่า
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ปรารภการยกย่องอสัตบุรุษของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน ในนั้นมีมานพคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะ ได้เรียนมนต์ทำคนตายให้ฟื้นคืนมาได้แต่ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกันวันหนึ่ง เขาเข้าไปหาฟืนกับเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ก็พูดกับเพื่อนๆ ว่า” เราจะทำเสือตายตัวนี้ ให้ฟื้นคืนมา พวกท่านจะเชื่อเราหรือไม่ ” พวกเพื่อนๆไม่เชื่อและท้าว่า ” ถ้าท่านมีความสามารถ ก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นมาเถิด ” แล้วก็ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ไปส่วนนายสัญชีวะ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนหิน ทันใดนั้นเอง เสือได้ลุกขึ้น กระโดดกัดที่ก้านคอของเขา ทำให้เขาเสียชีวิตล้มลงตรงนั้นเอง ทั้งคนและสัตว์นอนตายในที่เดียวกัน พวกมานพขนฟืนไปแล้ว บอกเรื่องนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า” ผู้ใดยกย่องและคบหาคนชั่วคนชั่วย่อมกระทำผู้นั้นแหละ ให้เป็นเหยื่อเหมือนเสือโคร่งที่สัญชีวมานพทำให้ฟื้นขึ้น แล้วทำเขานั้นแล ให้เป็นเหยื่อ ”

นิทานดาวลูกไก่

ดาวไก่น้อยพระอาทิตย์ยามเย็นส่องแสงนวลสีเหลืองอ่อยใกล้ลับภูเขา สองเฒ่าตายายกำลังกลับจากหาฝืนในป่าก็กลับกระต๊อบ ยายก็มาหุงหาข้าวปลาอาหาร ตาก็ถือขันข้าวเปลือกไปให้อาหารแม่ไก่กับลูก 6 ตัว ที่พาลูกไปเที่ยงป่าไผ่หลังกระต๊อบทั้งวัน ตกค่ำตายายก็จุดตะเกียงนั่งกินข้าวนอกชานซึ่งมีหลังคาคลุมอยู่ เสียงร่ำลือหนาหูว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกรดหลังหมู่บ้าน ตายายกินข้าวไปพลางปรึกษากันว่าจะฆ่าแม่ไก่ตัวนี้เสีย เพื่อไปจังหันพระ แม่ไก่ที่กำลังกกลูกนอนอยู่ได้ยินก็บอกกับลูกว่า “ลูกเอ้ย....มื้ออื่นแม่จะต้องตายแล้ว แม่จะต้องตอบแทนบุญคุณที่ตายายชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ” ลุกไก่ทั้ง 6 ได้ยินดังนั้นก็ร้องให้ซบอกแม่แน่นขึ้น แม่ไก่ก็กระซิก สะอื้นสั่งเสียลูกต่อไปว่า “ลูกๆทั้ง 6 คนต้องรักกัน สามัคคีกัน น้องต้องเชื่อฟังพี่ แม่ตายแล้วก็อย่าพากันไปเล่นไกลกระท่อม เดี๋ยวจะพลัดหลงทาง” นางแม่ไก่ กอดลูกน้อยนอนร้องไห้ทั้งคืน จนหลับไปกลางดึกด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่คราบน้ำตานั้นยังไม่จางหายไปจากเบ้าตาของแม่ลูก ลูกไก่บางตัวยังไม่หลับสนิทยังสะอื้นกระซิกๆ ยันสว่าง เช้าวันนี้ เป็นวันนี้แปลกและเศร้าสลด แม่ไก่ไม่ได้พาลูกไปออกหากินเช่นเคย นางกอดลูกรอความตายหน้ากระท่อม ถึงแม้นางอยากตายเพื่อตอบแทนบุญคุณตายาย แต่ก็หาอยากจากลูกในอกไปไม่ นางกอดลูกอยู่อย่างนั้น รอความตายอย่างน่าสงสาร บางทีอยากอยากจะพาลูกหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่กลัวว่าลูกจะอยู่อย่างลำบากระหกระเหินเร่ร่อน ตากับยายเดินลงกระท่อมาแล้ว ตายายตรงรี่เข้าแม่ไก่ทันที ตามปกติการจับไก่ที่ไม่ค่อยเชื่องต้องใช้คนหลายคนวิ่งไล่กันพัลวัน พอจนมุมก็จับคอแล้วรวบขา เอาหัวไก่ห้อยต่องแต่งในกำมือคนจับ แต่แม่ไก่ตัวนี้ยอมให้ตาอุ้มไปโดยดี ลูกไก่ได้ออกจากอกแล้ว น้ำตาของทั้งสองฝ่ายต่างไหลออกจากเบ้าตาอีกครั้งและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหยุดซักที ลูกไก่วิ่งตามตามาอย่างสุดฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามตากับยายได้ แม่ไก่โดนยายถอนขนบริเวณต้นคอ นางแม่ไก่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ลูกไก่ได้แต่ร้อง เจี๊ยบๆๆๆ ยิ่งหลายตัว ยิ่งส่งเสียงหนวกหูคนฟัง แต่ความจริงแล้ว ลูกไก่เหล่านั้นกำลังร้องเรียกหาแม่ บ้างก็ร้องไห้ ร่ำรำพันถึงแม่ บางตัวอดไม่ได้ถึงกับต่อว่าด่าตากับยาย แม่ไก่ถูกถอนขนเกือบครึ่งคอ ตาก็หยิบมีดมา เพื่อจะปาดคอให้ตาย แม่ไก่หลับตาแน่นเบ้า ลูกไก่ยิ่งร้องเจี๊ยบๆๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ มีดได้ปาดเนื้อคอแม่ไก่แล้ว เลือดกำลังไหลออกมาอย่างช้าๆ ยายเอาถ้วยมารองเลือดไว้ ตาใช้ปาดไปมา สองสามครั้งเลือดก็ไหลออกมาดังเปิดก๊อกน้ำ บัดนี้แม่ไก่หมดแรง และเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือคณา ลูกตาของแม่ไก่เหลือกขึ้นบนฟ้าแล้วก็สะอึกสองทีแล้วนางแม่ไก่ก็ตายจริงๆแล้ว ลูกไก่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่ส่งเสียงเรียกแม่ด้วยความไร้เดียงสา เจี๊ยบๆๆๆ เสียงนี้ดังก้องกระท่อม...แม่ไก่ตายแล้ว.....แม่ไก่ตายแล้วไม่รู้ว่าลูกจะอยู่อย่างไร ไม่รู้ว่าลูกทนทุกข์ทรมานเมื่อขาดแม่ ลูกไก่ร่ำไห้เรียกหาแม่ตลอดเวลา น้ำร้อนเดือดแล้ว ยายน้ำร่างแม่ไก่ไปลวกแล้วถอนขน แม่ไก่ไม่รู้หรอกว่า ตอนแม่ถูกถอนขน มันเจ็บกระดองใจลูกผู้เห็นแม่ขนาดไหน ใจลูกอยากจะตายแทนแม่เหลือเกิน แม่จ๋า แม่จ๋า แม่อยู่ไหน ลูกจะตายกับแม่ แม่รอหนูนะจ๊ะ ไม่ว่าแม่อยู่ไหน หนูจะตามไปทุกหนทุกแห่ง หนูจะไปเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติ แม้แม่จะเกิดเป็นไส้เดือนกิ้งกือ หนูก็จะไปเกิดในท้องแม่ แม้แม่จะเกิดเป็นพยาธิหนูก็จะไปเกิดในท้องแม่ ทำไม ทำไมแม่ต้องมาจากหนูไปด้วย แม่จ๋า แม่อยู่ไหน ทำไมไม่พาหนูไปอยู่ด้วยพอถอนขนเกรียนแล้ว ยายก็จะเอาร่างนั้นไปจี่เพื่อเผาขนอ่อนที่เหลือ ทันใดนั้นเอง ลูกไก่ทั้งหมดตัดสินใจ วิ่งสุดฝีเท้ากระโดดเข้ากองไฟตายไปกับแม่......ด้วยอานิสงส์อันประเสริฐ ทั้งหมดได้เกิดเป็นดาว............................อ้างอิงที่มาอ้างอิงกระทู้มาจากเว็บไซต์อีสานจุฬาฯSponsor Links
google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

นิทานกาตัวดำกับหงส์ขาว

นิทานก่อนนอน > กาตัวดำกับหงส์ขาว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกาตัวดำตัวหนึ่ง มันนั่งเฝ้ามองหงส์ขาวอย่างใจจดใจจ่อ และ ได้ร้องตะโกนออกไปว่า “ ท่านหงส์ขาวผู้งดงาม ท่านช่วยแนะนำวิธีให้กับข้าได้ไหมว่า ท่านทำเช่นไรถึงได้มีขนสีขาวที่งดงามเพียงนี้ข้าอยากมีขนสีขาว เช่นท่
ส่วนหงส์ขาวทำเป็นไม่สนใจกับคำพูดของกา ยืนอยู่กลางน้ำและหาอาหารต่อ เจ้ากา นึกว่าหงส์คงไม่ได้ยินที่มันพูดจึงร้องถามอีกครั้ง แต่หงส์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็หันมามอง เจ้ากาเหมือนกับรำคาญเต็มที เจ้ากาก็ไม่สนใจในเมื่อหงส์ไม่ยอมบอก มีอยู่วิธีเดียวคือ ต้องเฝ้ามองดูทุกกริยาบทของหงส์ว่าในแต่ละวันหงส์ทำอะไรบ้าง เจ้ากาก็เริ่มเรียนแบบ และมันพยายามมองดูหงส์ทำทุกอย่าง จนหงส์รู้สึกรำคาญ จึงบินจากไป านกรุณา ช่วยบอกข้าด้วย”
เช้าวันใหม่ เจ้ากาก็มารอเจ้าหงส์เหมือนเคย และไม่นานหงส์ก็บินลงมาที่ท่าน้ำ ตั้งแต่เช้า จนถึงเย็นเจ้ากามันไม่ยอมกินอะไรมัวแต่เฝ้ามองหงส์ไม่ให้คาดสายตาเจ้าการู้สึกดีใจที่มัน ทำอย่างหงส์ได้ มันกล่าวว่า “ท่านหงส์ข้าทำอย่างท่านได้คงใช้เวลาอีกไม่นาน ก็จะมีขน สีขาวเช่นท่านแน่เลย” เจ้ากาเข้าใจว่าถ้ายืนแช่น้ำนาน ๆ เหมือนกับหงส์จะทำให้มันขาว เหมือนกับหงส์ได้
หงส์กล่าวว่า “เจ้ากาอย่ามาเสียเวลาเป็นวันกับข้าเลยเจ้าไม่มีวันจะมีขนสีขาวได้อย่างข้า หรอก เพราะข้าเกิดมาก็มีขนสีขาวเช่นนี้แล้ว ส่วนเจ้าก็เช่นกัน เกิดมาก็มีขนเป็นสีดำ เจ้าก็ หน้าจะพอใจในสิ่งที่เจ้ามีไม่ดีกว่าเหรอ ทำไม ต้องมายืนแช่น้ำให้เหนื่อยเปล่า มันไม่ทำให้ เจ้ามีขนเป็นสีขาวได้หรอก แถมเจ้าอาจจะเป็นไข้หวัดได้ อากาศที่นี่เย็นมากเจ้ารีบขึ้น มาจากน้ำเถอะ” จากนั้นหงส์ก็บินจากไป
เจ้ากายืนอยู่ได้ไม่นานเริ่มหนาวและหิวแต่มันก็พยายามยืนต่อ เพราะมันต้องการ เอาชนะ เจ้าหงส์ “ ข้าจะมีขนสีขาวอย่างเจ้าให้ได้คอยดู” ไม่นานเจ้ากาก็ล้มลง เพราะมันทนกับ ความหนาวเย็นไม่ไหว ในที่สุดมันก็ล้มป่วยและตายไปในที่สุด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คิดจะทำสิ่งใดควรไตร่ตรองให้รอบครอบเสียก่อนเพราะมันจะทำให้ตัวเองต้องลำบากและเหนื่อยเปล่ากับการเลียนแบบผู้อื่นทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างที่หวังไว้

นิทานใบไม้

นิทานใบไม้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดอกไม้และใบไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้ มันต่างก็แยกกันอยู่ อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียวหากแต่มีหลากหลายสีสันงดงามนัก..แต่ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้น ใบไม้รวมอยู่กับหมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่าง เงียบเหงา เดียวดาย แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกัน แต่ดอกไม้แต่ละดอกต่าง มีความคิด และวาดฝันเป็นของตัวเอง เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้ แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง แต่ดอกไม้ดอกเล็กและเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมากระทั่งวันหนึ่ง ... ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พลันสายตาก็เหลือบ ไปเห็นดอกไม้น้อยสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขาไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไมของดอกไม้น้อยในทันที แต่ในความอ่อนหวานนั้นดูเหมือนจะมีความเหงาแฝงอยู่ด้วย ใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า"ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกินแต่ทำไมเธอจึงดูเงียบเหงาอย่างนี้เล่า" ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่ แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า "สีขาวซีดอย่างนี้หรือสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก"ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือ ดูแล และปกป้องดอกไม้น้อยดอกนี้ เขาจึงบอกเธอไปว่า "มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอได้นะ ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะทำให้เธอมี ชีวิตชีวาขึ้นเอง"ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันทีเมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว ใบไม้ก็ให้การดูแลเธออย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ ถ่ายทอดออกมาเป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้แล้ววันหนึ่งเมื่อดอกไม้น้อยมองลงไปในลำธาร เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสวยที่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลาย เป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า " ใบไม้ นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ "ใบไม้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า " ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว"ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้เห็นเธอมีความสุข \" จากนั้นมา ดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่น บนรากของความรัก ที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจด้วยเหตุนี้ ใบไม้จึงมีสีเขียว สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียว เมื่อไร เราจะรับรู้ได้ถึงความสบายใจของใบไม้ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความสุขส่วนดอกไม้ ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน ละมุนละไมนั้น ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน ...

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทานปูกับงู

12
ปูกับงู
ปูกับงูเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน ปูนั้นซื่อตรงต่องูไม่เคยทรยศหักหลัง ตรงกันข้ามกับงูซึ่งมักไม่ซื่อตรงทำให้ปูได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ แม้จะพยายามตักเตือนอย่างไรแต่งูก็ไม่ยอมกลับตัว จนในที่สุดปูหมดความอดทนจึงใช้ก้ามหนีบงูจนตาย
“ถ้าจิตใจของเจ้าซื่อตรงเหมือนร่างของที่นอนยาวเหยียดอยู่เช่นนี้ เจ้าก็คงไม่ต้องพบจุดจบในวันนี้” ปูกล่าวกับงูก่อนที่จะกลับลงรูของมันไปตามลำพัง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเลวไร้ความซื่อสัตย์ ยากที่จะสำนึกตัวได้แม้เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว

นิทานหญิงชรากับสาวใช้

นิทาน นิทานอีสป
มิ.ย.
26
หญิงชรากับสาวใช้
หญิงชราจอมเฮี้ยบผู้หนึ่งจ้างสาวใช้สองคนไว้ทำงานในบ้านทุกเช้าตรู่ ในขณะที่สาวใช้หลับอย่างเป็นสุขเพราะอากาศกำลังเย็นสบายไก่ที่หญิงชราเลี้ยง ไว้ก็ส่งเสียงขันรบกวน ยิ่งกว่านั้นหญิงชรายังมาปลุกให้สาวใช้ลุกขึ้นทำงานทันทีเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน ด้วยเหตุนี้สาวใช้ทั้งสอง จึงแอบจับไก่ไปฆ่าเพื่อไม่ส่งเสียงปลุกหญิงชราและรบกวนพวกตน โดยเข้าใจว่านับแต่นี้ไปจะได้นอนตื่นสายกันได้ตามสบาย แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เมื่อไม่มีเสียงไก่คอยบอกเวลา หญิงชราเกรงว่าตนเองอาจนอนเพลิน เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกตามประสาคนแก่ก็รีบมาปลุกสาวใช้ให้ลุกขึ้นทำงาน ทำให้สาวใช้ทั้งสองลำบากยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่ค่อยได้หลับได้นอน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ใดคิดร้ายหรือคดโกง ย่อมได้รับผลกรรมตอบแทนหญ

นิทานอีสป...เรื่องวัวสามสหาย(สามัคคีคือพลัง)

นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย (สามัคคีคือพลัง)
« เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 09:59:26 pm »
ครั้งหนึ่งยังมีวัวอยู่สามตัว เป็นเพื่อนที่ดีมีความเกี่ยวข้องที่สามัคคีต่อ กัน มันทั้งสามอาศัยอยู่ในทุ่งกว้างที่ป่าใหญ่อัฟริกา มันทั้งสามตัว จะไปไหนมาไหนไม่ว่าจะเป็นเวลากินหญ้าหรือแม้แต่ในเวลานอน ก็จะอยู่ในที่ที่ใกล้ ๆ กันอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ในวันหนึ่ง ในขณะที่วัวทั้งสามตัวกำลังรวมกลุ่มกันยืนกินหญ้าอยู่นั้น ก็เกิดได้มีสิงห์โตหิวโซตัวหนึ่งเดินผ่านมาและได้เห็น มันหมายที่จะบุกเข้าจับกินเป็น เหยื่อ" ว้าว! พวกมันดูน่าอร่อยมากเลยทีเดียว " แต่วัวทั้งสามตัวได้ร่วมพลัง กันกางเขายืนจังกล้าหันหน้าเข้าปะทะกับสิงห์โตอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงแต่ อย่างใด " ม่อๆๆ กางเขาหันหน้าสู้กับสิงห์โต ห้ามแยกจากกันเป็นอันขาด "
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2008, 07:49:09 am โดย ออมสิน »
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:02:26 pm »
สิงห์โตจึงไม่สามารถที่จะเข้าไปในที่ที่ใกล้ ๆ และทำอะไรพวกมันได้เลยสักนิด เพราะฉะนั้นสิงห์โตจึงทำได้ก็แต่แค่เพียงเดินเมียงมองอยู่ในที่ห่าง ๆ และรอบ ๆ ได้แต่เพียงอย่างเดียว มันเฝ้ารอคอยเพื่อหาโอกาสที่จะบุกเข้าโจมตี แต่แล้วก็ต้อง เลิกลาและถอยห่างออกไปในที่สุด " ถ้าพวกเราร่วมมือสามัคคีกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวอ้ายสิงห์โตตัวนั้นเลยสักนิด " สิงห์โตรู้สึกอับอาย เป็นอย่างมาก ที่ไม่สามารถที่จะกินวัวทั้งสามตัวพวกนั้นได้
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:05:22 pm »
" มันน่าที่จะมีหนทางอะไรที่ดี ๆอยู่บ้างนะ " สิงห์โตพยายามใช้ความคิด "อ้อ ข้ารู้แล้ว.. ! ว่าด้วยเหตุใดข้าถึงได้บุกเข้าไปจับกินพวกมันไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็เป็นเพราะว่าพวกมันมีความสามัคคีกันนั่นเอง,,, ดังนั้นก่อนอื่นใด ข้าก็จำเป็นที่จะต้องจัดการทำให้พวกมันแตกแยกขาดความ สามัคคีต่อกัน...แล้วตอนนั้นแหละ ข้าก็จะกินพวกมันได้ทีละตัว ๆ อย่างง่าย ๆ นั่นไง ใช่แล้ว ! " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว สิงห์โตก็ได้ย้อนกลับมาปรากฏตัวในที่ ทุ่งกว้างที่พวกวัวทั้งสามอยู่อีกครั้งหนึ่ง " ดีมาก...ดูสิ..นั่นพวกมันกำลังแยกกันออกไปยืนกินหญ้าอยู่ในที่ที่ห่าง ๆ อยู่พอดีเลยทีเดียวเชียว "
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:09:03 pm »
สิงห์โตรีบเดินไปในที่ที่ใกล้ ๆ กับวัวตัวสีแดงก่อนอื่นใด แล้วกระซิบด้วย เสียงที่อ่อนหวานที่สุดว่า " นี่นี่..นายสีแดง เราต้องขอยอมแพ้ในความเก่งกาจของ พวกท่านแล้วหละ เพราะพวกท่านนั้นทั้งเก่งทั้งแข็งแรง..เราขอนับถือ..แต่ว่านะ..เราอยาก รู้จังเลยว่าท่านทั้งสามนั้นใครคือผู้ที่เก่งและแข็งแรงที่สุดในฝูงล่ะ" วัวตัวสีแดงจึงพูดว่า " พวกเรานั้นทั้งเก่งและแข็งแรงด้วยกันทั้งสามนั่นแหละ " สิงห์โตทำท่าทีเป็นตกใจ " จริงน่ะ???แต่ที่ข้าได้ยินมาจากวัวตัวอื่นนั้น..มันไม่ใช่อย่างเช่นที่ท่านพูดนี่ ! "
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:11:26 pm »
วัวตัวสีแดงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงได้ถามไปว่า " แล้วพวกนั้นพูดว่าอย่างไร??" สิงห์โตจึงได้ทีพูดว่า " วัวตัวสีดำนั้นบอกว่ามันนั้นทั้งเก่งและ แข็งแรงที่สุดในฝูง แล้วยังได้บอกอีกด้วยว่าถ้าไม่มีมันแล้ว รับรองว่า วัวตัวสีแดงกับวัวตัวสีน้ำตาลจะต้องโดนสิงห์โตกินไปนานนมแล้วเสียด้วยนะ.." " อะไรนะ? ทำไมมันถึงได้พูดในสิ่งที่ห่วยและแย่มาก ๆ อย่างเช่นนี้ได้ ยังไง!"วัวตัวสีแดงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ให้เป็นโกรธเป็นอย่างมาก...
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:14:11 pm »
แล้วในที่สุด,สิงห์โตก็ได้ไปพูดบอกหลอกลวงแบบเช่นนี้กับวัวตัวสีน้ำตาล แล้วก็แน่นอนเหมือนกันกับวัวตัวสีดำอีกด้วย..." นี่ นี่ วัวตัวสีน้ำตาลท่านได้ ฟังแล้วหรือยัง? ว่าวัวตัวสีดำพูดว่า มันนั้นต้องมีหน้าที่ดูแลป้องกันภัย ให้กับวัวทั้งสอง เพราะว่าวัวทั้งสองตัวนั้นทั้งอ่อนแอและทำอะไรที่เป็น ประโยชน์ไม่ได้เสียเลย.. " " ม่อๆๆๆโอ้ยนี่ข้าโกรธแล้วด้วยนะ! " สิงห์โต พูดหลอกลวงแบบนี้กับวัวทั้งสามตัวตามแผนการณ์ได้อย่างแนบเนียนมากเสียด้วยสิ
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:16:11 pm »
.แล้วหลังจากนั้นในที่สุด..ที่ทุ่งกว้างของป่าใหญ่ก็เป็นอันได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นมา เสียแล้ว...เริ่มต้นจากวัวตัวสีดำก่อนเลย มันตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า " มาเลย เราจะต้องมาสู้แข่งขันกัน เพื่อให้รู้ให้แน่ชัดเสียเดี๋ยวนี้ ว่าใครคือผู้ที่เก่งและแข็งแรงที่สุดในฝูง " วัวตัวสีแดงก็เหมือนกันก็พูดขึ้นด้วยความโมโหว่า "ตัวที่เก่งและแข็งแรงที่สุดก็คือข้า!" มันทั้งสามตัวจึงเริ่มต่อสู้กัน..โดยใช้เขาอันแหลมคมของพวกมันนั้นเอง..เสียบแทง ซึ่งกันและกันอย่างไม่ยอมลดละให้กันและกันเลยสักน้อยนิดเสียด้วย...
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:18:46 pm »
" ม่อๆๆม่อๆๆ..ม่องเท่งสิ" สัตว์ทั้งสามตัวจึงมีอันต้องนองและเต็มไปด้วยเลือด มันทั้งสามตัวได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมากและอ่อนแรงลงอย่างไม่ได้สติ จากการต่อสู้"ม่อๆๆ..ข้าไม่ปรารถนาที่จะอยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป " ทั้ง ๆ ที่เคยมีความสามัคคีและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่แล้ววัวทั้ง สามตัวก็จำต้องมาแตกแยกขาดความสามัคคีเป็นมิตรที่ดีต่อกันและกันไปในที่สุด และในตอนนั้นสิงห์โตก็ยิ้มด้วยความพอใจ เพราะได้โอกาสเข้าไปจับกิน พวกวัวที่อ่อนแรงใกล้ตายได้ทีละตัว ทีละตัว สมใจสบายโก๋ไป ตั้งสามวันเต็ม ๆเลยทีเดียว...

บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องวัวสามสหาย
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 07, 2008, 10:20:45 pm »
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นิทานเรื่องเล่าเรื่องนี้..ได้เล่าถึงวัวที่คือผู้ที่ได้รับการหลอกลวง จากสิงห์โตที่กุข่าวลือขึ้นมา...จนทำให้ต้องมาแตกขาดความสามัคคีและความ มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน " จงให้ความสำคัญและให้ความเชื่อใจ กับคนหรือ เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน " ... ที่มา http://sukumal.net/isoppu/uchitolion/uchitolion01.html

นิทานอีสป...เรื่องสุนัขป่าหน้าโง่

นิทานอีสป... เรื่องสุนัขป่าหน้าโง่
« เมื่อ: กันยายน 10, 2008, 09:18:41 am »
ลาตัวหนึ่ง ขณะกำลังกินหญ้าอยู่ที่กลางทุ่งอย่างเพลิดเพลิน แต่มันก็ต้องตกกระใจอย่างที่สุดเมื่อมันมองไปเห็นสุนัขป่าดุร้าย ตัวหนึ่งเข้า และเจ้าสุนัขป่าตัวนั้นก็กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาหมายจะจับมันกินเป็นอาหาร และด้วยเจ้าลาตัวนี้มันเป็นลาที่สมองดี นั่นเองมันจึงแสร้งทำเป็นว่าเท้าเจ็บ แล้วแกล้งก้าวเขยกขาหลังของมันค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างสมจริงสมจังมากเสียด้วย
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องสุนัขป่าหน้าโง่
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 10, 2008, 09:22:24 am »
สุนัขป่าที่วิ่งมาถึงหมายจะกระโดดตะครุบแต่เมื่อมันเห็นอาการเดินเขยกขาของลาเข้าเช่นนั้น ก็จึงเกิดความสงสัยขึ้นมาติดหมัดเลยทีเดียว มันจึงหยุดแล้วตะโกนถามออกไปว่า "นั่นเจ้าเป็นอะไรน่ะ ? ทำไมถึงเดินขาเขยก ? อย่างนั้นเล่า" ลาหัวหมอแข็งใจตอบไปว่า "เมื่อสักครู่ นี้ข้ากระโดดข้ามพุ่มไม้แล้วไปเหยียบเอาหนามแหลมเข้า นี่หนามมันยังติดฝังฝ่าเท้าของข้าอยู่เลย เออแน่ะ! เมื่อเจ้าจะกินข้า ก็กินเถอะข้ายอม แต่สงสัยว่าเจ้าคงต้องเอาหนามที่ฝ่าเท้าหลังของข้านี้ออกเสียก่อนจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหนามมันจะเลยเข้าไปตำคอหอยเจ้าตอนกินข้า ได้ก็ไม่รู้นะ " เมื่อได้ยินลาว่าดังนั้น เจ้าสุนัขป่าที่ดุร้ายแต่สมองทึบก็เกิดเห็นด้วยขึ้นมา มันจึงยกเท้าหลังข้างที่เขยกของลาขึ้นดู หมายจะดึงหนาม ออกเสียก่อนแล้วค่อยกิน..ว่าอย่างนั้น
บันทึกการเข้า
อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

ออมสิน
สมาชิก VIPHero Member ออฟไลน์กระทู้: 2239

Re: นิทานอีสป... เรื่องสุนัขป่าหน้าโง่
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 10, 2008, 09:28:23 am »
แต่ขณะที่มันกำลังมองสำรวจหาหนามอยู่นั้นเอง ลาก็เลยได้จังหวะและใช้เท้าหลังข้างนั้นดีดลูกหลังโดนปากสุนัขป่าอย่างเต็มแรง ผลก็เลย ทำให้ฟันในปากของเจ้าสุนัขป่าหักไปหลายซี่เลือดแดงกลบปากเลยทีเดียว เจ้าสุนัขป่าจำต้องทรุดลงนั่งร้องโอดครวญไปมา และตอนนั้น ลาหัวหมอก็เลยถือโอกาสออกวิ่งหนีไปจากที่นั้นทันที... "สมน้ำหน้าข้าแล้ว !" สุนัขป่าพูด "ข้ามันไม่ดีเอง มีหน้าที่อย่างเดียวคือไล่ฆ่าสัตว์ กินเป็นอาหาร แต่คราวนี้ดันมาทำตัวเป็นหมอรักษาโรค... ทุด ! สมน้ำหน้าตัวข้าเสียจริง ๆ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ ผู้ที่ชอบสอดรู้ในเรื่องที่ตนไม่น่าที่จะรู้ในบางครั้ง ก็มักจะต้องเจ็บตัวและเสียผลประโยชน์ง่ายๆ อย่างตัวอย่างที่ ว่ามานี่แหละ"

นิทานอีสป

นิทานอีสป เรื่อง มดกับตัวดักแด้
ในคืนวันหนึ่งที่ในป่าลึก ได้เกิดลมมรสุมลูกใหญ่พัดกระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืน...เรียกว่ามันเป็นคืน ที่สยองและโหดร้ายอย่างมากเลยทีเดียว...และกว่าลมมรสุมลูกนั้นจะพัดผ่านพ้นลงไปก็เช้าพอดี พระอาทิตย์แย้มหน้าออกมาส่องแสงให้ความสว่างไสวไปทั่วทั้งป่า มีมดตัวหนึ่ง ค่อย ๆแย้มหน้าของมัน โผล่หัวออกมาจากใต้ใบไม้แห้งที่วางปิดอยู่บนปากหลุมใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่เมื่อคืนมันได้ใช้ เป็นที่หลบลมพายุลูกร้ายลูกนั้นอยู่ทั้งคืน...
" โอ้ย...สุดแสนจะน่ากลัวและโหดร้ายมากเลยเมื่อคืนนี้ " เมื่อมันโผล่หัวออกมาได้ ก็บ่นงึมงำอย่างหัว เสียเป็นที่สุด แล้วขณะนั้นมันก็ได้เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งเข้า เจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างลำบาก ลำบนกลิ้งกระดืบออกมาจากใต้ใบไม้แห้งข้าง ๆตัวของมัน มันหละให้เป็นนึกขะหยะขะแหยงและความรู้ สึกไม่ค่อยจะดีในความน่าเกลียดของเจ้าสิ่งที่มันได้เห็นนั้น ทำไมถึงน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้นะ...มันคิด แล้วก็พร้อมกันนั้นมันก็พูดขึ้นกับเจ้าสิ่งนั้นว่า " นี่เอ็ง...เป็นตัวอะไรฟะ มือก็ไม่มีขาก็ไม่มี จะเคลื่อนไหว แต่ละทีก็ลำบากลำบนออกอย่างนั้น...ทำไมเจ้าถึงเป็นแมลงตะกูลที่น่าเกลียดที่สุดในโลกอย่างนี้เล่า... "
สิ่งที่มันนึกขะหยะขะแหยงนั้นคือตัวดักแด้ที่กำลังรอเวลาที่จะลอกคราบอยู่ในอีกไม่นานแต่เพราะลม มรสุมเมื่อคืน มันจึงโดนพัดให้ตกลงมาสู่พื้นดินด้านล่างอย่างโชคร้าย..." ขอโทษทีนะท่าน ที่ทำให้ท่านความรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นเราเข้า เราเป็นดักแด้ตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง มือก็ไม่มี ขาก็ไม่มี จึงเดินไม่ได้เหมือนอย่างท่าน " เจ้ามดเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าเบ้ แล้วพูดว่า " แมลงอย่างเจ้า เกิดมามีกรรม เสียชาติเกิดนะ เป็นแมลงจะต้องมีขาแล้วต้องเดินได้ปีนต้นไม้ได้ เหมือนอย่างข้านี่สิ ถึงจะเรียกว่าแมลง ไม่เสียชาติเกิด...ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้าว่าเป็นพวกพ้อง แมลงเผ่าพันธุ์เดียวกันกับข้า ฮึ...เสียความรู้สึกเป็นที่สุด " เจ้ามดพูดว่าและดูถูกตัวดักแด้ตัวนั้นให้เสียใจ อย่างมาก...แล้วมันก็เดินหนีจากไปทันที...
เมื่อเวลาได้ผ่านมาวันหนึ่ง หลังจากที่ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก พื้นดินทั่วทั้งป่าก็บรรดาลให้เกิดเป็นโคลน เป็นตมไปหมดทั่วทุกที่ ขณะที่เจ้ามดตัวเดิมกำลังเดินลุยโคลนอยู่ด้วยความลำบากลำบนเพราะกว่ามัน จะก้าวขาออกไปข้างหน้าได้แต่ละก้าวนั้น โคลนเหลว ๆที่เกาะอยู่ตามแข้งตามขาของมันคอยยึดขาของ มันไว้ติดเหนียวแน่นทำให้เดินลำบากน่ารำคาญอย่างยิ่ง มันจึงบ่นขึ้นด้วยความหัวเสีย " โอ้ย...โคลนเละ ๆ เหลว ๆทั้งนั้น เดินลำบากยากเย็นเสียจริง ๆ " มันบ่นไปเดินไปและคิดว่าแหมวันนี้มันช่างโชคร้าย เสียเหลือเกิน...แล้วขณะนั้นอยู่ ๆก็มีเสียง ๆหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบนเหนือหัวของมันว่า " แมลงที่มีขา อย่างเดียวไม่มีปีกบินไปไหนมาไหนหนีภัยไม่ได้อย่างเจ้า ก็จำเป็นจะต้องได้รับกรรมจำต้องเดินด้วย ความลำบากลำบนในที่ ๆทีเป็นโคลนเป็นตมอย่างนั้น ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินนะเนี่ย...เกิดมาเป็น แมลงมีแต่ขาอย่างเดียวอย่างเจ้านี่ เสียชาติเกิดนะ เจ้ามดเอ๋ย..ช่างน่าอายเหลือเกินถ้าจะให้ข้านับเจ้า ว่าเป็นแมลงเผ่าพันธุ์พวกพ้องเดียวกันกับข้า...ช่างน่าอายเสียจริง ๆ"
เจ้ามดรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่พูดดูถูกดูแคลนมันอยู่ทันที แล้วมันก็ได้เห็นผีเสื้อที่สวยงามมาก ตัวหนึ่งกำลังกะพือปีกที่กว้างใหญ่และสวยงามนั้นเหมือนอวดเยาะเย้ยอยู่ด้านบน มันจึงพูดว่า " อันนั้นมัน เรื่องของข้า ก็ข้าเกิดมาไม่มีปีกเหมือนเจ้านี่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินลุยโคลนลุยตมอยู่อย่างนี้ แล้วทำไม เจ้าจึงมาว่าข้าอย่างเสียหายอย่างนี้เล่า " ผีเสื้อจึงตอบออกมาแบบเหยียดหยามว่า " เจ้ามดจอมปากเสีย ข้าคือตัวดักแด้ตัวที่แกเคยพูดดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ครั้งหนึ่งให้ต้องได้ช้ำใจ...เจ้าพอจะนึกออกไหม?ล่ะ ตอนนี้ข้าได้ลอกคราบออกมาแล้วเป็นผีเสื้อมีปีกที่สวยงามและสามารถที่จะบินไปในที่ไหน ๆได้อย่างสะดวก สบายและอิสระ...น่าสงสารเจ้านะเกิดมาไม่มีปีก มีแต่ขาก็กรรมมากพออยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเดิน ได้อย่างอิสระเสียอีกอย่างที่ข้าได้เห็นนี่น่ะ " ว่าทิ้งท้ายเสร็จแล้ว ผีเสื้อก็กระพือปีกและบินจากไป...
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอและอย่างแน่นอนด้วย

นิทานเด็กเลี้ยงแกะ

นิทานอีสป...เด็กเลี้ยงแกะ
อ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อก่อนหน้า

:: ลานธรรมจักร :: » นิทาน-การ์ตูน

ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:38 am

ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กเลี้ยงแกะ อยู่คนหนึ่ง ทุกวัน...ทุกวัน...เด็กเลี้ยงแกะคนนี้ จะต้องต้อนฝูงแกะของตน ออกไปหากินหญ้าที่เนินเขาใกล้ชายป่าอยู่สมอมา...และเมื่อเขาได้นำฝูงแกะมาถึงที่หมายแล้ว ก็จะต้องนั่ง เฝ้าเพื่อคอยปกป้องให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของหมาป่า อยู่จนกว่าพวกแกะทั้งฝูงจะกินหญ้าเสร็จ ซึ่งมันก็เป็น หน้าที่ประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของเขา เมื่อทุกวันๆ จำจะต้องทำอย่างซ้ำซากจำเจและหลีกเลี่ยง ไม่ได้อย่างนั้น เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่ายและแสนที่จะเซ็ง...อย่างที่สุดขึ้นมาเข้าวันหนึ่ง จึงคิดหาเรื่องสนุกๆ ทำเล่น เพื่อให้คลายความเครียดและเกิดความสนุกสนานขึ้นมาเสียสักหน่อย...ท่าจะดี และเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว...


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:39 am

จึงแกล้งร้องตะโกน ขึ้นด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งวิ่งอย่างตระหนกตกใจเข้าไปในหมู่บ้าน ปากก็ร้องตะโกนโหวก เหวกไปตลอดทางว่า "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว...ช้วยด้วยเจ้าข้า..." พวกชาวบ้านเมื่อ ได้ยินว่ามีหมาป่าออกมาดังนั้น จึงพากันวิ่งเข้ามาหมายจะช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่าง ๆที่พอจะมีกัน...แต่แล้วเมื่อ พากันวิ่งมาถึงตรงที่พวกฝูงแกะอยู่นั้น ก็ไม่พบและเห็นว่ามี หมาป่าอยู่ที่ไหนเลยสักตัวเดียว แล้วยังแถมมองเห็น ว่าพวกแกะนั้นกำลังเล็มหญ้ากินกันอย่างสบายใจ เด็กเลี้ยงแกะแอบหัวเราะขึ้นในใจ อย่างถูกใจเป็นที่สุด ที่ หลอกทุกคนได้ "ฮ่าๆๆๆ ฮู่ๆๆๆๆ ขำว่ะคนโดนเด็กหลอก ฮ่าๆๆๆ" เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยิ้มหน้าระรื่นพร้อมทั้ง ได้บอกกับพวกชาวบ้านที่กำลังยืนงงกันอยู่นั้น อย่างมองแล้วก็รู้ว่าโดนเด็กหลอกให้เข้าอย่างเต็มเปาเลยหละว่า "พวกท่าน ฮึๆๆ มาช้าไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเอง หมาป่ามันวิ่งหนีไปทางโน้น...แล้วหละ ฮึๆๆๆ"


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:39 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:40 am

พวกชาวบ้านเมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นเด็กเลี้ยงแกะทำท่าหัวเราะถูกใจ อย่างสุดที่จะระงับด้วยอาการแบบนั้นเข้า ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาได้โดนหลอกเสียแล้ว ต่างก็ให้เป็นโมโหกันอย่างมาก ด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำงานของพวก เขาไปโดยปล่าวประโยชน์เหมือนไร้ค่าแบบน่าโมโหอย่างนั้น เด็กเลี้ยงแกะเมื่อหลอกใครๆ ได้สำเร็จ ก็ให้เป็นรู้สึก สนุกสนานเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้น เขาก็ยังแกล้งหลอกแบบเดิม ให้ชาวบ้านพากันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาช่วย ได้อีก 2-3 ครั้ง


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:41 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:41 am

จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีหมาป่าออกมาไล่จับกินแกะเข้าจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะ ตาเหลือก หน้าซีดวิ่งร้อง เสียงหลงเลยทีเดียว และได้เข้าไปขอร้องผู้คนเป็นการใหญ่ "ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า....หมาป่ามากินแกะแล้ว... ช้วยด้วยเจ้าข้า !" เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนหอแหบ คอแห้งไปหมด แต่พวกชาวบ้านนั้น ด้วยทุกคน ก็ได้เคยโดนหลอกอย่างนี้มาแล้วหลายหน จึงไม่สนใจและเดินหนีกันไปหมดทุกคนเลยนั่นแหละ....


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:42 am




ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:42 am

ก็จะมีใครเล่า...ที่จะเชื่อคนที่เคยและชอบโกหกพกลมอย่างนี้...สักคนเล่า...และในที่สุด ฝูงแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยง แกะผู้ชอบปด ก็เลยจำต้องโดนหมาป่าเขมือบกินเป็นอาหารไปเสียจนหมด ไม่มีเหลือเลยสักตัว เด็กเลี้ยงแกะเลย จำต้องมานั่งร้องให้โอดครวญอย่างน่าสงสารอยู่ตรงข้างซาก ของฝูงแกะของตัวเอง และพูดทั้งน้ำตาว่า "ไม่ควร เล้ย..เพราะข้าไม่ดีเอง ขี้โกหกโป้ปดมดเท็จ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กว่าจะรู้ว่ามันไม่ดี...ฮื่อๆๆๆ ก็สายไปเสีย แล้ว ฮื่อๆๆๆ" เขานั่งร้องให้ขี้มูกโป่งด้วยความเศร้าโศรก อย่างที่เรียกว่า ผิดครั้งนี้..เล่นเอา เขาจำต้องหัวเราะไม่ ออกไปอีกนานเลยทีเดียวเลยหละ"


ลูกโป่งบัวแก้วเข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:43 am

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่มักหรือชอบพูดโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครสักคนเชื่อ...ท่านว่าไหมล่ะ ? ... แปลและเรียบเรียงโดยสุขุมาลย์ คัดลอกมาจาก : http://sukumal.brinkster.net/


webmasterบัวบานเต็มที่เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004ตอบ: 544
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 1:10 pm

ขอฝากคุณลูกโป่ง ช่วยโพสข้อความในกระทู้นี้ ในหมวดหนังสือธรรมะด้วยครับ ผลไม้ในสวนธรรม http://larndham.net/index.php?showtopic=12509&st=0


เว็บมาสเตอร์บัวบานเต็มที่เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005ตอบ: 770
ตอบเมื่อ: 09 พ.ย.2005, 2:34 pm

บังเอิญไปเจอนิทานชาดกมา ไม่ทราบคุณลูกโป่งนำมาโพสไว้แล้วหรือยัง http://patji.net/patji-club/index.php?option=com_wrapper&Itemid=40


ฝ้ายผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2005, 11:47 am



nnnnnnnผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2005, 7:00 am



น้องนิดผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2005, 1:06 pm

ก็สมน้ำหน้าเหมือนกันนะค่ะก็อยาไปโกหกผู้ใหญ่ทำไมล่ะค่ะถ้าอยากมีเพื่อนก็คุยดีๆก็ได้นี่ค่ะน้องนิดมีเพื่อนไม่เยอะยังไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ น้องนิดขอนะค่ะว่าถ้าอยากมีเพื่อนต้องคุยกับเขาดีๆนะค่ะถึงจะมีเพื่อนค่ะแล้วอย่าเอาเด็กคนนี้เป็นตัวอย่างนะค่ะ

.....ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ม.ค. 2006, 2:57 pm

ไม่ได้เรื่องเลยนิทานเก่าไปนะคับแต่รูปภาพสวยดี

นิทานหนูน้อยหมวกแดง

นิทานเรื่อง " หนูน้อยหมวกแดง " เป็นนิทานของประเทศทางยุโรป แต่งโดย สองพี่น้องตระกูลกริมม์ ซึ่งเป็นนักเขียนเทพนิยายชื่อดัง " หนูน้อยหมวกแดง "เป็นตัวแทนของเด็กผู้หญิงตัวน้อยผู้มีจิตใจอ่อนโยน ดีงาม ซื่อใสบริสุทธิ์ และในขณะเดียวกันก็กล้าหาญ บวกกับเนื้อเรื่องที่ตื่นเต้น ผู้อ่าน จึงสนุกกับการได้คอยเอาใจช่วยเหลือเธอ พร้อมกันนั้นบางท่านอาจถึงกับนึกเคือง เจ้าหมาป่าตัวร้ายด้วย และนี่เองคือสเน่ห์ที่ทำให้นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานอีกเรื่องที่อยู่ในใจ ของผู้อ่านตลอดมา....
นานมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีแม่และลูกสาวตัวเล็ก ๆ หน้าตาหน้า เอ็นดูมากคนหนึ่ง ที่ใคร ๆ ต่างก็จะเรียกเธอกันจนติดปากว่า" หนูน้อย หมวกแดง" ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากด้วยเธอมักที่จะใส่หมวกที่เป็น แบบเสื้อคลุมติดกันสีแดงสด ซึ่งหมวกนี้ยายของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านถัดไป ได้ถักให้กับเธอเป็นของขวัญในวันเกิด และเธอก็ชอบมันมากมักจะใช้ ประจำติดตัวอยู่เสมอนั่นเอง หนูน้อยคนนี้เป็นเด็กหญิงที่น่ารัก จิตใจดี มีเมตตาต่อเพื่อน ๆ และสัตว์ ทั้งหลาย ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รักยิ่งของทุกๆ คนและเพื่อน ๆ รวมทั้งสัตว์ ต่าง ๆ อีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของหนูน้อยหมวกแดงได้เรียกหาเธอแต่เช้าแล้วบอกว่า " วันนี้ลูกต้องเอาอาหารซึ่งเป็นขนมพาย, และ เหล้าองุ่นไปให้คุณยายที่กำลังนอนป่วยอยู่นะจ๊ะ" หนูน้อยหมวกแดงรีบตอบรับทันที " ค่ะ" พลางฉวยตระกร้าจากมือของแม่ แล้วทำท่าจะเดินจากไป โดยมีแม่ร้องสำทับขึ้นตามหลังว่า " อย่าเถลไถลและแวะเล่นที่ไหนด้วยนะจ๊ะ ลูก เพราะคุณยายกำลังรออยู่ แล้วอีกอย่างหนึ่งลูกจะกลับบ้านมืดค่ำด้วย อันตรายจ้ะ ได้ยินไหม?" หนูน้อยหวกแดงรับคำอีกครั้ง "ค่ะ แม่" แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของยาย ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที

หมู่บ้านถัดไปที่คุณยายของเธออาศัยต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้านั้นมีต้นอ้อปลิวไสวล้อเล่นลม และยังมีดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกบาน สะพรั่ง มีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยบินไปมา อากาศหรือก็เย็นสบาย และในขณะ ที่หนูน้อยหมวกแดงกำลังเดินชื่นชมกับความงามของธรรมชาติสองข้างทาง ไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น ก็เกิดได้มีหมาป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้าพอดี มันหยุดชะงัก เพราะได้กลิ่นหอมของขนมพายจากตะกร้าของหนูน้อยหมวกแดงนั่นเอง ฉับพลันมันคิดว่า "ฉันต้องการขนมพายที่อยู่ในตะกร้านั่น และรวมทั้งเจ้าของตะกร้านั่นด้วย" และไวเท่าความคิด มันรีบวิ่งไปดักหน้าหนูน้อยหมวกแดงเอาไว้ ตอนแรกหนูน้อยก็ ตกใจเพราะเคยได้ยินมาว่า หมาป่ามันชอบกัดเด็ก แต่ด้วยเธอเป็นเด็กที่เชื่อคนง่ายนั่นเอง เธอหยุดยิ้มหวานให้ ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบพูดขึ้นว่า "อย่าตกใจไปเลย หนูน้อย ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เท่านั้นจ้ะ แล้วนี่เธอจะไปไหนหรือ?" หมาป่าพูดพลางจ้อง ที่ตระกร้าขนมพายด้วยดวงตาเป็นมันวาวทีเดียว หนูน้อยหมวกแดงได้ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า " หนูกำลังจะไปบ้านยาย จะเอาขนมพายนี่ไปให้ยายที่กำลังนอนป่วยอยู่ค่ะ" มันแอบยิ้มอย่างเจ้าเลห์ ก่อนที่จะพูดอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เก็บดอกไม้พวกนี้ไปฝาก ยายด้วยละจ้ะสวย ๆ ทั้งนั้นเลย" แต่หนูน้อยหมวกแดงไม่ทันสังเกตและสงสัยอะไร เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องดอกไม้พวกนี้อยู่ว่า "เก็บดอกไม้แค่นี้ คงไม่เสียเวลามากหรอกมั้ง แล้วที่สำคัญคุณยายก็คงจะชอบมากด้วย " คิดได้ดังนั้น หนูน้อยหมวกแดงจึงแวะเก็บดอกไม้ด้วยความเพลิดเพลิน....
ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อมันได้ยินว่ายายของหนูน้อยหมวกแดงกำลัง นอนป่วยอยู่เท่านั้น มันก็คิดเปลี่ยนแผนการณ์ทันที " เดี๋ยวไปกินยายของมันก่อนดีกว่า...เพราะมันบอกว่ายายของมันกำลังไม่สบาย จะต้องไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะต่อสู้เราได้ และเมื่อกินยายของมันแล้ว ทีนี้ก็ดักรอ แล้วกินอ้ายเด็กนี่ทีหลัง..ฮ่ะ ๆๆๆ " มันได้รีบวิ่งไปที่บ้านของคุณยายที่นอนป่วย อยู่ทันที และเมื่อมันมาถึงก็เคาะประตูร้องเรียกแถมทำเสียงเลียนแบบหนูน้อย หมวกแดง " ยาย...คุณยายจ๋า เปิดประตูให้หนูหน่อย นี่หนูน้อยหมวกแดง เองจ้า.. เปิดประตูให้หน่อย สิจ๊ะ..." คุณยายที่อยู่ในบ้านก็เชื่อสนิทว่าเป็นเสียง ของหลานจริง ๆเสียด้วย แต่พอคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาเปิดประตูเพื่อรับ หลานรักเข้าเท่านั้นเอง

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า

The Rabbit and The Tortoise .
มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร " One day, when a tortoise was walking, a rabbit came running from the other side. "hihi!, the tortoise. You walk slowly also today. Why do you walk slowly like that?" "I walk slowly but, nobody has bigger durability than mine." said the tortoise.
" นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ " "You may compete with me to the top of that mountain." the tortoise said. The rabbit said, laughing aloud , "ha ha, It is interesting, Although It is impossible for you to win against me." The rabbit gathered friends promptly . The rabbit had a plan to give a disgrace and laugh at the tortoise. "Everybody, please look at the result of which one run fast in this dull tortoise and me ha ha."
" เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ "Ready !, Go!" The tortoise and the rabbit started with the shout of a fox, simultaneously . "Pyon!Pyon!Hyew" The rabbit ran at uncanny speed. And, the rabbit had reached to the middle of a mountain in a moment . "Where is the tortoise?" When the rabbit looked back, the tortoise was walking far after .
พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง The audience laughed at him together, saying "Tortoise, tortoise, you are slowest in the world..ha ha." The tortoise was still walking aiming at the top of a mountain without doing a rest . The rabbit was tired of waiting, "The tortoise is yet far, I will also still do a nap for a while." He fell asleep at the midway of the mountain.
ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง" While the rabbit was sleeping, the tortoise is continuing walking without a rest . "Although I am a dull foot, I don't lose at durability to anybody . I will do my best!" After a while , when the tortoise came in the mountain, he heard a snore from some where. "What?, a snore is heard. Ah!, the rabbit is sleeping there."
ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว Near the rabbit which is sleeping well , the tortoise walked step by step earnestly. After a while, the rabbit woke up at last. "Hee ! Where is the tortoise?" He looked for the tortoise, but he could not find it anywhere. when he noticed and looked at the top of a mountain, the tortoise was showing cheers there.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ" let's have the perseverance which can work steadily like the tortoise

นิทานหมาป่า

เอาไว้ เทวดาผู้พิทักษ์ป่าจึงได้ปรากฏกายและให้พรตามใจปรารถนาแก่หมาป่าสีเทา ๒ ข้อ “เจ้าจะขออะไรก็ได้ ๒ อย่าง ยกเว้นขอให้พร ๒ ข้อเพิ่มเป็น ๑๐๐ ข้อ” เทวดาบอกกับหมาป่าเช่นนั้น หมาป่าสีเทาคิดหนัก มันจะต้องการอะไรดีนะ ที่ที่มันอยู่ก็มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีที่ให้วิ่งเล่น มีอากาศบริสุทธิ์ มีบ้าน มีเพื่อนดีๆ แล้วจะขออะไรดีล่ะ มันคิดๆๆๆๆ “เร็วๆ หน่อยสิ ข้ายังต้องไปให้พรผู้ที่ทำความดีอีกตั้งหลายที่” เทวดาเร่ง เพราะภารกิจของท่านเทวดานั้นมากมาย “งั้นขอให้ได้เป็นคน ๑ วัน” หมาป่าสีเทาคิดพรข้อแรกออกมาจนได้ “วู้...จะเป็นไปทำไมกันล่ะนั่น เอ้าๆ ตามใจๆ แล้วอีกข้อล่ะ เร็วๆๆ จะหมดเวลาแล้ว” “ขอ...เอ่อ...ขออะไรไม่รู้ คิดไม่ออก ไม่อยากได้แล้ว” “ไม่ได้ๆ ข้าบอกว่า ๒ ข้อ ก็ ๒ ข้อสิ เทวดาพูดแล้วต้องรักษาคำพูด” เทวดาใจร้อนเริ่มหงุดหงิด “ขอ...เอ่อ...” “วุ้ยช้าจริง เอาเป็นว่าข้อ ๒ เหมือนข้อแรกก็แล้วกัน” ท่านเทวดาสรุปเอาเอง “พรทั้ง ๒ ข้อจะหมดอายุภายใน ๗ วัน วิธีใช้ก็ง่ายๆ แค่พูดว่า คนคนคน ก็จะได้เป็นคน ๑ วัน หลังจากนั้นก็หาเวลาเป็นคนอีกครั้งก่อนพรข้าจะเสื่อมก็แล้วกัน เฮ้อ...ขออะไรไม่ขอ บอกก่อนนะว่าไม่สนุกเลยซักนิด” “ไม่สนุกยังไงล่ะท่าน ยังงี้ข้าเปลี่ยนใจได้มั้ย” หมาป่าชักลังเล “ไม่ได้ เทวดาให้พรแล้วเปลี่ยนไม่ได้ อย่าลืมใช้พรให้ครบล่ะ มิฉะนั้นทำดีคราวต่อไปอดได้พรแน่” พูดจบท่านเทวดาก็หายวับไป “แปลกเทวดาแฮะ ผลุบๆ โผล่ๆ ลุกลี้ลุกลนยังไงชอบกล แล้วพรที่ได้จะทำให้เราเป็นคนเพี้ยนๆ เหมือนท่านเทวดามั้ยนะ ลองเลยละกัน คนคนคน” แล้วหมาป่าสีเทาได้กลายเป็นคน ๑ วันตามที่ขอไว้ มันออกจากป่าเข้าไปในหมู่บ้าน และพอมันกลับมาก็เอาแต่นั่งซึมเศร้าอย่างที่เล่าไว้บรรทัดแรกนั่นแหละ ........................................ “เป็นอะไรไปน่ะ นั่งซึมเชียว” หมาป่าสีน้ำตาลถามด้วยความเป็นห่วง หมาป่าสีเทาจึงเล่าเรื่องที่มันได้เจอเทวดาให้หมาป่าสีน้ำตาลฟัง “โอ้โฮ...มีเรื่องสนุกๆ ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย มินาล่ะหายไปทั้งวัน เอ๊ะ...แล้วทำไมมานั่งซึมแบบนี้ล่ะ ไม่สนุกหรอ? เล่าต่อสิ เล่าต่อๆ” หมาป่าสีน้ำตาลตื่นเต้นกับเรื่องที่หมาป่าสีเทาเล่า “มันแย่มากๆ เลยล่ะ ฉันคิดว่าหมาป่าเท่ๆ อย่างพวกเราจะเป็นขวัญใจเด็กๆ ซะอีก ที่ไหนได้...” หมาป่าสีเทาร้องไห้โฮ จนหมาป่าสีน้ำตาลตกใจ “ทำไมๆ เกิดอะไรขึ้น พวกเด็กๆ ทำอะไรหรอ” “พวกเขาบอกว่าหมาป่าเป็นตัวร้าย นิทานเรื่องไหนๆ ก็เป็นตัวร้าย ทั้งหนูน้อยหมวกแดง ลูกหมู ๓ ตัว เด็กเลี้ยงแกะ เรื่องไหนๆ หมาป่าก็ใจร้ายทั้งนั้น ฉันบอกพวกเด็กๆ ว่า พวกเราไม่เคยกินเด็กอย่างหนูน้อยหมวกแดง ยิ่งคนแก่อย่างคุณยายยิ่งไม่น่ากิน แต่ไม่มีเด็กคนไหนรักหมาป่าเลย” หมาป่าสีน้ำตาลได้ฟังเช่นนั้นก็เศร้าตามไปด้วย “นายยังเหลือพรอีกข้อนึงนี่ ไปดูเด็กที่อื่นๆ มั้ยว่าเค้าคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า” หมาป่าสีน้ำตาลอยากรู้ว่าเด็กทุกๆ คนจะมองว่าพวกมันเป็นตัวร้ายจริงหรือเปล่า แต่หมาป่าสีเทาสรุปว่าเด็กทุกคนคิดแบบนั้นไปแล้วมันจึงปฏิเสธ “ไม่ล่ะ นิทานที่ว่านั่นมันดังไปทั่วโลก เด็กที่ไหนๆ ก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ ฉันไม่ใช้พรข้อที่เหลือหรอก ไม่สนุกอย่างที่เทวดาบอกไว้จริงๆ ด้วย” หมาป่าสีเทาไม่ยอมใช้พรข้อที่เหลือ จนถึงวันครบกำหนดที่พรของเทวดาจะหมดอายุลง วันนั้นเทวดามาเคาะประตูบ้านของมันแต่เช้า “นี่ๆๆ ตื่นซะที รีบๆ ไปใช้พรให้ครบๆ” เทวดาตะโกนเรียก “ไม่เอา ไม่สนุก” หมาป่าสีเทาตะโกนตอบ “ไม่ได้ๆๆๆ ได้พรแล้วต้องใช้ให้ครบ” “แต่ข้าไม่ได้ขอพรข้อ ๒ นี่ ท่านพูดเองเออเองนะ” หมาป่าสีเทาเถียง “ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องทำตามนั้น ถ้าเจ้าไม่ใช้พรวิเศษก็เสียชื่อข้าหมด” ว่าแล้วเทวดาก็เสกหมาป่าให้กลายเป็นคนแล้วส่งมันไปในที่ที่หนึ่ง หมาป่าสีเทาในร่างมนุษย์หล่นตุ๊บลงในสวนสาธารณะ เมื่อมันลุกขึ้นก็พบว่ามีเด็กชายตัวเล็กจ้องมองมันอยู่ “โตแล้วยังจะหกล้มอีก น้าไม่ค่อยได้กินผักล่ะสิถึงไม่แข็งแรง” เด็กชายพูดแล้วก้มลงระบายสีในสมุดภาพที่อยู่ตรงหน้า หมาป่าขยับเข้ามาดูว่าเด็กชายระบายภาพอะไร “ไม่แบ่งให้ระบายหรอก” เด็กชายหูกางรวบสมุดระบายสีกองใหญ่เข้าใกล้ตัว “ไม่แย่งระบายหรอกน่า หนูชื่ออะไร” “พี่กร” “ตัวนิดเดียวทำไมเป็นพี่ล่ะ” “ใหญ่กว่าน้องอนุบาลก็แล้วกัน หนูอยู่ ป. ๑ จะขึ้น ป. ๒ แล้วนะ” เด็กชายกอดสมุดระบายสีแน่น “ขอดูหน่อยน่าไม่แย่งระบายหรอก มีตัวอะไรมั่ง” “นี่ริวคิ นี่มดแดง นี่โปเกม่อน นี่พาวเวอร์เรนเจอร์ นี่โกโกไฟต์” เด็กชายจิ้มๆๆ ตัวโน้นตัวนี้อย่างสนุกสนาน “มีเยอะจัง แล้วเล่มนั้นล่ะ” หมาป่าชี้ไปที่หนังสือสีสวยที่อยู่ล่างสุด “นั่นมันนิทานแปะสติ๊กเกอร์ เรื่องหมาป่ากับลูกแพะทั้ง ๗” ชื่อแบบนี้หมาป่าเป็นตัวโกงอีกแน่เลย หมาป่าสีเทาคิด และคาดว่าเด็กชายตัวจิ๋วหูกางคนนี้ก็คงเกลียดหมาป่าเหมือนเด็กอื่นๆ แต่... “เรื่องนี้ตลกดีอ่ะน้า หมาป่าอะไรจะกินลูกแพะเข้าไปได้ตั้ง ๖ ตัว แถมกลืนเอื๊อกลงไปไม่ได้เคี้ยว หมาป่าไม่ใช่งูเหลือมซะหน่อย” เด็กชายชี้ให้หมาป่าสีเทาดูภาพพลางหัวเราะ “หนูไม่เชื่อเรื่องที่เค้าเล่าหรอ?” “มันไม่ใช่เรื่องจริงนี่ แม่บอกว่าคนที่แต่งเรื่องขึ้นมาเขาต้องการจะสอนให้เด็กๆ รู้จักระวังตัว ระวังคนแปลกหน้า แต่น้าก็เป็นคนแปลกหน้านี่น่า” เด็กชายทำท่าระแวง “แล้วถ้าน้าบอกว่า น้าเป็นหมาป่าด้วยล่ะ แฮ่....” หมาป่าสีเทาแกล้งทำท่าแยกเขี้ยว กางเล็บใส่ “น้าอย่ามาอำ หนูอยู่ ป. ๑ แล้ว ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นหรอก หมาป่าจะปลอมเป็นคนได้ยังไง...แฮ่...” เด็กชายแยกเขี้ยวตอบบ้าง “แต่ว่าหนูไม่ได้เกลียดหมาป่าใช่มั้ย” “ไม่เกลียดหรอก เจ๋งดี เรื่องลูกหมู ๓ ตัวน่ะ หมาป่าเป่าปู้ดเดียวบ้านพังเลย” เด็กชายยิ้มกว้างประกายตาระยับ “แต่เด็กๆ ไม่มีใครรักหมาป่าเลย” “เดี๋ยวพวกเค้าโตก็รู้เองล่ะน่าว่านั่นมันเรื่องหลอกเด็ก” เด็กชายวางท่าราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่กำลังพูดกับเด็ก “เอาไว้หนูบอกแม่ให้เขียนเรื่องที่หมาป่าเป็นพระเอกมั่งดีกว่า” “ทำแบบนั้นได้หรอ” “ได้สิ แม่หนูเค้าเขียนนิทานโน่นนี่ไปเรื่อยแหละ แต่จริงๆ แล้ว หนูอยากให้เค้าเขียนเรื่องแบบดรากอนบอลมากกว่า” “หนูบอกแม่ให้เขียนจริงๆ นะ” หมาป่าสีเทายิ้มกว้างพลางจับมือเด็กชายตัวจ้อย “อือ...เอ๊ย...ครับ” เด็กชายเขย่ามือตอบ